ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก
วิกิพีเดีย
โจเซฟ สตาลิน (รัสเซียИосиф Виссарионович Сталин Iosif Vissarionovich Stalin อิโอซิฟ วิซซาริโอโนวิช สตาลินอังกฤษJoseph Stalin; 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1878 – 5 มีนาคม ค.ศ. 1953) เป็นผู้นำของสหภาพโซเวียต ตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1920 ถึง ค.ศ. 1953 และดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมวลสหภาพ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เปรียบได้กับหัวหน้าพรรค
โจเซฟ สตาลิน
Иосиф Сталин (รัสเซีย)
იოსებ სტალინი (จอร์เจีย)
โจเซฟ สตาลิน ในปี 1943
เลขาธิการคณะกรรมการกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียต
ดำรงตำแหน่ง
3 เมษายน ค.ศ. 1922 – 16 ตุลาคม ค.ศ. 1952
ก่อนหน้าวยาเชสลาฟ โมโลตอฟ(รักษาการ)
ถัดไปนิกิตา ครุสชอฟ
ประธานสภารัฐมนตรี
ดำรงตำแหน่ง
6 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 – 5 มีนาคม ค.ศ. 1953
ก่อนหน้าวยาเชสลาฟ โมโลตอฟ
ถัดไปเกออร์กี มาเลนคอฟ
ผู้บัญชาการประชากลาโหม
แห่งสหภาพโซเวียต
ดำรงตำแหน่ง
19 กรกฎาคม ค.ศ. 1941 – 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946
ก่อนหน้าเซไมยอน เตอโมเชนโก
ถัดไปนีโคไล บุลกานิน
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด18 ธันวาคม ค.ศ. 1878
เมืองโกรี รัฐจอร์เจียจักรวรรดิรัสเซีย
เสียชีวิต5 มีนาคม ค.ศ. 1953 (75 ปี)
เมืองดาซา สหภาพโซเวียต
พรรคการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียต
ศาสนาไม่มีศาสนา
ลายมือชื่อ
การเข้าเป็นทหาร
ปีปฏิบัติงาน1918—1922
1941—1953
ยศจอมพลสูงสุดแห่งสหภาพโซเวียต
บำเหน็จ
วีรชนแห่งสหภาพโซเวียตHero of Socialist Labor medal.svg
OrderVictoryRibbon.svgOrderVictoryRibbon.svg
Order of Lenin ribbon bar.pngOrder of Lenin ribbon bar.pngOrder of Lenin ribbon bar.pngOrder of Red Banner ribbon bar.png
Order of Red Banner ribbon bar.pngOrder of Red Banner ribbon bar.pngOrder suvorov1 rib.png20 years saf rib.png
Ribbon bar for the medal for the Defense of Moscow.pngOrder of Glory Ribbon Bar.pngVictoryjapan rib.png800thMoscowRibbon.png
สตาลินสืบทอดอำนาจจาก วลาดิมีร์ เลนิน และนำโซเวียตก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของโลก หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก็เป็นหนึ่งในขั้วอำนาจในการทำสงครามเย็นกับสหรัฐอเมริกา
โจเซฟ สตาลิน ไม่ใช่ชื่อจริงของเขา ชื่อจริงของเขาคือ "โยเซบ เบซาริโอนิส ดเซ จูกาชวิลลี" (იოსებ ბესარიონის ძე ჯუღაშვილიIoseb Besarionis dze Jughashvili) เขาเกิดที่เมือง โกรี ประเทศจอร์เจีย ตำแหน่งเมืองนั้นตั้งอยู่บนเนินสูงของเทือกเขาคอเคซัส ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐของจักรวรรดิรัสเซียสมัยนั้น เขาก็เป็นชาวจอร์เจียนโดยกำเนิด โดยชื่อ สตาลิน นี้เขาตั้งขึ้นมาเองขณะทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ (stalin ในภาษารัสเซียแปลว่า เหล็กกล้า)
ด้วยความทะเยอทะยานทำให้สตาลินได้เริ่มมีบทบาทสำคัญในพรรคบอลเชวิค หลังจากที่พรรคบอลเชวิคทำการปฏิวัติโค่นล้มระบอบกษัตริย์ลงได้ สตาลินก็ได้รับตำแหน่งคอมมิสซาร์ประชาชนเพื่อกิจการชนชาติต่าง ๆ[1] จนเมื่อเลนินล้มป่วย สตาลินก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้นไปอีก จนได้เป็นเลขาธิการพรรคใน ค.ศ. 1922 จนกระทั่งเมื่อเลนินเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1924 ก็ได้เกิดการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างสตาลินกับลีออน ทรอตสกี สุดท้ายสตาลินก็ชนะ จึงได้เป็นผู้นำต่อจากเลนิน
ใน ค.ศ. 1939 เริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 สตาลินได้มีการทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกับพรรคนาซีเยอรมนี ทำให้เกิดการแบ่งแยกอำนาจในยุโรปตะวันออก ใน ค.ศ. 1940 ระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง ผู้นำของสหภาพโซเวียต เขาถูกเรียกว่า บิดาแห่งชาวสหภาพโซเวียตทั้งปวง เมื่อศาสนาเป็นสิ่งผิดกฎหมายในรัฐคอมมิวนิสต์ บทบาทของพระเจ้าก็ถูกเล่นโดยสตาลิน เขานำระบบ คอมมูนมาใช้ ทุกคนถูกห้ามมีทรัพย์สินส่วนตัว ทุกอย่างรวมทั้งตัวบุคคลเป็นของพรรคหรือคอมมูน ผู้ต่อต้านถูกส่งไปค่ายกักกันและเสียชีวิตราว 10 ล้านคน ไมมีการสำรวจประชากรว่าระหว่างเขาเป็นผู้นำประชากรโซเวียตเสียชีวิตไปเท่าไรในช่วงที่มีการปฏิวัติระบบนารวม
ค.ศ. 1941 หลังนาซีเยอรมนีรุกรานโปแลนด์สำเร็จ ฮิตเลอร์ก็ได้ละเมิดข้อตกลงและเริ่มทำสงครามครั้งใหญ่กับสหภาพโซเวียตทันที ถึงแม้จะมีการสูญเสียดินแดนและกำลังพลจำนวนมาก กองทัพแดงโซเวียตก็สามารถต่อต้านกองทัพนาซีได้ ค.ศ. 1945 หลังจากปราบปรามแนวรบของฝ่ายอักษะในยุโรปตะวันออก กองทัพแดงของโซเวียตก็ทำการโจมตีและยึดกรุงเบอร์ลินเมืองหลวงของเยอรมนีได้สำเร็จ สตาลินได้จบสงครามในยุโรปให้กับฝ่ายสัมพันธมิตรและนำโซเวียตชนะสงครามได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยประชาชนเสียชีวิต 20 ล้านคน ทหารเสียชีวิต 10 ล้านคน ทหารอีกกว่า1ล้าน6แสนคนที่พร้อมจะโจมตีญี่ปุ่นแต่ญี่ปุ่นชิงยอมแพ้สงครามกับอเมริกาเสียก่อนเนื่องจากกลัวที่จะสูญเสียเมืองต่างๆอีกมากมายให้กับสหภาพโซเวียต จากนั้นสตาลินก็ได้พัฒนาประเทศให้เจริญเป็นอย่างมากและนำสหภาพโซเวียตก้าวขึ้นสู่เป็นประเทศมหาอำนาจของโลกที่มีประเทศยุโรปตะวันออกที่ปกครองแบบคอมมิวนิสต์ โดยมีสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเทศมหาอำนาจของโลกที่มีประเทศยุโรปตะวันตกที่ปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นคู่แข่งจนนำไปสู่สงครามเย็นในที่สุด
เขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1953 หลังสตาลินตาย นีกีตา ครุชชอฟ ผู้นำคนใหม่ได้ผ่อนคลายความเข้มงวดในระบบสตาลินลง พร้อมทั้งประณามขุดคุ้ยความโหดร้ายของเจ้านายคนเก่าของเขา จนในที่สุดทุก ๆ ที่ ที่มีรูปปั้นสตาลินถูกทุบทิ้ง เพลงชาติถูกลบชื่อของเขาออก ศพของเขาถูกย้ายจากข้าง ๆ เลนิน ไปฝังอยู่ในกำแพงวังเครมลิน

ครอบครัวและในวัยเด็ก

การศึกษาในโรงเรียนสามเณรกอรี

นโยบายต่างประเทศ

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้