ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

วิกิพีเดีย

สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (อังกฤษWorld War I หรือ First World War) หรือที่มักเรียกว่า "สงครามโลก" หรือ "มหาสงคราม" (Great War) ก่อน ค.ศ. 1939 เป็นสงครามใหญ่ที่มีศูนย์กลางในยุโรประหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ถึง 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ทุกประเทศมหาอำนาจของโลกเกี่ยวพันในสงคราม[5] ซึ่งแบ่งออกเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร (มีศูนย์กลางอยู่ที่ไตรภาคี ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย) และฝ่ายมหาอำนาจกลาง (มีศูนย์กลางอยู่ที่ เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี ออตโตมันและบัลแกเรีย)[6] พันธมิตรทั้งสองมีการจัดระเบียบใหม่ และขยายตัวเมื่อมีชาติเข้าสู่สงครามมากขึ้น ท้ายสุด มีทหารกว่า 70 ล้านนาย ซึ่งเป็นทหารยุโรปเสีย 60 ล้านนาย ถูกระดมเข้าสู่สงครามใหญ่ที่สุดสงครามหนึ่งในประวัติศาสตร์นี้[7][8] สงครามโลกครั้งที่หนึ่งยังนับว่าเป็นความขัดแย้งวงกว้างภายในทวีปยุโรปครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามนโปเลียน[9] ทหารผู้เข้าร่วมรบเสียชีวิตเกิน 9 ล้านนาย สาเหตุหลักเพราะความร้ายแรงของพลังทำลายของอาวุธที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพราะเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยไม่มีพัฒนาการในการคุ้มครองหรือความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ที่สอดคล้องกัน สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นสงครามที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์อันดับที่หก[10] สงครามนี้เป็นผลให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บและสูญหาย รวมกันไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคน และกรุยทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายอย่าง เช่น การปฏิวัติในชาติที่เข้าร่วมรบ[11]
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
WWImontage.jpg
รูปภาพเรียงตามเข็มนาฬิกาเริ่มจากภาพบนสุดการสงครามสนามเพลาะในแนวรบด้านตะวันตก; รถถังมาร์ค 4 ของอังกฤษกำลังเคลื่อนผ่านสนามเพลาะ; เรือหลวง อิรีซิสทิเบิล เรือรบหลวงแห่งราชนาวีอังกฤษกำลังอับปางหลังจากปะทะเข้ากับทุ่นระเบิดในยุทธนาวีดาร์ดาเนลส์; ทหารอังกฤษในหน้ากากกันแก๊สกำลังคุมปืนกลวิคเกอร์ส และฝูงเครื่องบินปีกสองชั้นรุ่น อัลบาทรอส เด 3 ของเยอรมนี
วันที่28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 – 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 (การสงบศึก)
สถานที่ทวีปยุโรป ทวีปแอฟริกาตะวันออกกลาง หมู่เกาะแปซิฟิก จีน และนอกชายฝั่งอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้
ผลลัพธ์ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะ
คู่ขัดแย้ง
ฝ่ายสัมพันธมิตร:
ฝ่ายมหาอำนาจกลาง:
ผู้บัญชาการหรือผู้นำ
ฝ่ายสัมพันธมิตร:
ฝ่ายมหาอำนาจกลาง:
กำลัง
[1]
จักรวรรดิรัสเซีย 12,000,000 คน
จักรวรรดิอังกฤษ 8,841,541 คน[2][3]
สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 8,660,000 คน[4]
ราชอาณาจักรอิตาลี 5,615,140 คน
สหรัฐ 4,743,826 คน
ราชอาณาจักรโรมาเนีย 1,234,000 คน
จักรวรรดิญี่ปุ่น 800,000 คน
ราชอาณาจักรเซอร์เบีย 707,343 คน
เบลเยียม 380,000 คน
ราชอาณาจักรกรีซ 250,000 คน
ไทย 1,250 คน
รวม : 42,959,850 คน
[1]
จักรวรรดิเยอรมัน 13,250,000 คน
จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี 7,800,000 คน
จักรวรรดิออตโตมัน 2,998,321 คน
บัลแกเรีย 1,200,000 คน
รวม : 25,248,321 คน
กำลังพลสูญเสีย
เสียชีวิต :
5,525,000 คน
บาดเจ็บ :
12,831,500 คน
สูญหาย :
4,121,000 คน
รวม :
22,477,500 คน
เสียชีวิต :
4,386,000 คน
บาดเจ็บ :
8,388,000 คน
สูญหาย :
3,629,000 คน
รวม :
16,403,000 คน
สาเหตุระยะยาวของสงครามรวมถึงนโยบายต่างประเทศแบบจักรวรรดินิยมของมหาอำนาจยุโรปทั้งหลาย อย่างจักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิออตโตมัน จักรวรรดิรัสเซียจักรวรรดิอังกฤษ ฝรั่งเศสและอิตาลี ส่วนการลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันด์แห่งออสเตรีย รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 โดยกัฟรีโล ปรินซีป นักชาตินิยมยูโกสลาฟ เป็นชนวนเหตุใกล้ชิดของสงคราม ออสเตรีย-ฮังการีจึงยื่นคำขาดฮับสบูร์กต่อราชอาณาจักรเซอร์เบีย[12][13]พันธมิตรทั้งหลายซึ่งก่อตั้งขึ้นมาเมื่อหลายทศวรรษก่อนถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ มหาอำนาจทั้งหลายจึงอยู่ในภาวะสงคราม และความขัดแย้งลุกลามไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วผ่านอาณานิคมต่าง ๆ
วันที่ 28 กรกฎาคม ความขัดแย้งเปิดฉากขึ้นเมื่อออสเตรีย-ฮังการีรุกรานเซอร์เบีย[14][15] ตามด้วยการรุกรานเบลเยียม ลักเซมเบิร์กและฝรั่งเศสของเยอรมนี และการโจมตีเยอรมนีของรัสเซีย หลังการบุกโจมตีกรุงปารีสของเยอรมนีถูกหยุด แนวรบด้านตะวันตกก็เป็นการรบแห่งการสูญเสียที่อยู่กับที่ด้วยแนวสนามเพลาะซึ่งเปลี่ยนแปลงน้อยมากกระทั่ง ค.ศ. 1917 ในทางตะวันออก กองทัพรัสเซียสามารถเอาชนะกองทัพออสเตรีย-ฮังการี แต่ถูกกองทัพเยอรมันบีบให้ถอยกลับจากปรัสเซียตะวันออกและโปแลนด์ แนวรบใหม่ ๆ เปิดขึ้นเมื่อจักรวรรดิออตโตมันเข้าสู่สงครามใน ค.ศ. 1914 อิตาลีและบัลแกเรียใน ค.ศ. 1915 และโรมาเนียใน ค.ศ. 1916 จักรวรรดิรัสเซียล่มสลายใน ค.ศ. 1917 และรัสเซียถอนตัวจากสงครามหลังการปฏิวัติเดือนตุลาคมในปีเดียวกัน หลังการรุกตามแนวรบด้านตะวันตกของเยอรมนีใน ค.ศ. 1918 กองทัพสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงครามและกองทัพสัมพันธมิตรสามารถผลักดันกองทัพเยอรมันกลับไปหลังได้รับชัยชนะติดต่อกันหลายครั้ง เยอรมนี ซึ่งประสบปัญหากับนักปฏิวัติถึงขณะนี้ ได้ตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ วันสงบศึก และชัยชนะตกเป็นของฝ่ายสัมพันธมิตร
เมื่อสงครามยุติ รัฐจักรวรรดิใหญ่สี่รัฐ อันได้แก่ จักรวรรดิเยอรมัน, ออสเตรีย-ฮังการี, รัสเซีย และออตโตมัน พ่ายแพ้ทั้งทางการเมืองและทางทหารและได้สิ้นสภาพไป เยอรมนีและรัสเซียสูญเสียดินแดนไปมหาศาล ส่วนอีกสองรัฐที่เหลือนั้นล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิง แผนที่ยุโรปกลางได้ถูกเขียนใหม่โดยมีประเทศขนาดเล็กเกิดใหม่หลายประเทศ[16]สันนิบาตชาติถูกก่อตั้งขึ้นด้วยหวังว่าจะป้องกันความขัดแย้งเช่นนี้มิให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ลัทธิชาตินิยมยุโรปเกิดขึ้นหลังสงครามและการล่มสลายของจักรวรรดิทั้งหลาย ผลสะท้อนจากความพ่ายแพ้ของเยอรมนีและปัญหากับสนธิสัญญาแวร์ซาย ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นปัจจัยซึ่งนำไปสู่การปะทุของสงครามโลกครั้งที่สอง[17]

เบื้องหลัง

เส้นทางของสงคราม

เทคโนโลยี

ภายหลังสงคราม

สยามกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

ดูเพิ่ม

เชิงอรรถ

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้